ปุ๋ย NPK แบบไหนเหมาะกับพืชแบบไหน? ตารางเลือกสูตรปุ๋ยที่เกษตรกรต้องรู้

ปุ๋ย NPK เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกพืชทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นผักผล ไม้ผล ดอกไม้ หรือพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เพราะเป็นธาตุอาหารหลักที่พืชต้องใช้มากที่สุด ได้แก่ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K)

แต่เกษตรกรจำนวนมากยังสับสนว่า “ควรใช้สูตรไหนกับพืชแบบไหน?” ใช้ผิดสูตรทำให้พืชเติบโตช้า ดอกไม่ติด ผลไม่โต เสียปุ๋ย เสียเงิน และเสียเวลา

บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่อธิบายแบบเข้าใจง่าย พร้อม “ตารางลับสำหรับเลือกปุ๋ย NPK” ที่เกษตรกรอยากได้มากที่สุด ใช้ได้จริงกับทุกชนิดพืช


ปุ๋ย NPK คืออะไร และตัวเลขหน้าถุงหมายถึงอะไร? (ขยายละเอียด)

ปุ๋ย NPK คือปุ๋ยเคมีที่ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก 3 ชนิด ซึ่งเป็นสารอาหารที่พืชต้องการมากที่สุดในการเจริญเติบโต ได้แก่ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) โดยตัวเลขสามช่องหน้าถุง เช่น 15-15-15, 16-20-0, 13-13-21 คือสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของธาตุทั้งสามชนิดตามลำดับ

ตัวอย่างเช่น
ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หมายถึง

  • N = 15%

  • P = 15%

  • K = 15%

ปุ๋ยสูตร 16-20-0 หมายถึง

  • N = 16%

  • P = 20%

  • K = 0%

ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สุ่มขึ้นมา แต่ถูกออกแบบให้เหมาะกับ “ช่วงการเจริญเติบโตของพืช” หรือ “ประเภทของพืช” เพื่อให้พืชได้รับสารอาหารแบบเหมาะสม ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป


N = ไนโตรเจน ช่วยให้ใบเขียว แตกยอด ลำต้นเติบโตเร็ว

ไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง “โปรตีน คลอโรฟิลล์ และเซลล์ใบ” โดยตรง พืชจึงต้องใช้ N มากที่สุดในช่วงเริ่มต้นเติบโต หรือพืชประเภทที่เน้นใบ เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ต้นหอม หรือไม้ประดับใบ

ประโยชน์ของไนโตรเจน (N):

  • ช่วยให้ใบสีเขียวเข้ม

  • ทำให้พืชโตเร็ว แตกยอดดี

  • เพิ่มจำนวนใบ

  • เพิ่มความสด ความอ่อนของพืชใบ

  • กระตุ้นการสร้างโครงสร้างลำต้น

อาการของพืชขาดไนโตรเจน:

  • ใบเหลืองทั้งต้น

  • ต้นผอมแห้ง โตช้า

  • ใบเล็กและซีด

อันตรายหากใส่มากเกินไป:

  • ใบเยอะมากจนเกินไป → ทำให้ดอกไม่ค่อยออก

  • ผลไม่ติดหรือดอกร่วงง่าย

  • เสี่ยงสะสมไนเตรต (กรณีผักใบ)

ดังนั้น N จึงเหมาะกับ “การบำรุงใบและลำต้น” เท่านั้น และควรใช้พอเหมาะ ไม่ควรเน้นมากเกินในพืชที่ต้องการดอกและผล


P = ฟอสฟอรัส ช่วยพัฒนาราก กระตุ้นดอก สร้างพลังงานให้พืช

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่ช่วยในการงอกราก ทำให้รากเดินดี ดูดน้ำ ดูดปุ๋ยได้ไว และยังช่วยในการสร้างดอกและการผสมเกสร จึงเหมาะสำหรับพืชที่ต้องการเตรียมพร้อมก่อนออกดอก หรือพืชต้นกล้าที่ต้องฟื้นตัวหลังปลูก

ประโยชน์ของฟอสฟอรัส (P):

  • กระตุ้นให้รากแตกแขนงดี

  • ช่วยให้พืชตั้งตัวเร็วหลังปลูก

  • ช่วยสร้างตาดอกและกระตุ้นการออกดอก

  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเมล็ด

  • ช่วยให้พืชแข็งแรงทนต่อโรค

อาการของพืชขาดฟอสฟอรัส:

  • ต้นแคระ ใบเล็ก

  • ใบเป็นสีม่วงหรือแดงคล้ำ

  • รากไม่เดิน ดินแฉะแต่รากไม่งอก

  • ดอกร่วงง่าย ดอกน้อย

ถ้าใส่มากเกินไป:

  • ทำให้พืชดูดธาตุอื่นไม่ได้ เช่น สังกะสีและเหล็ก

  • ทำให้ใบซีด

  • พืชเติบโตช้าลง

ดังนั้น P เป็นธาตุสำคัญสำหรับ “ช่วงเริ่มปลูก–สร้างราก” และ “ช่วงเตรียมออกดอก”


K = โพแทสเซียม เพิ่มคุณภาพผลผลิต ความหวาน ความแข็งแรง สีสวย

K คือธาตุที่ทำให้พืช “สมบูรณ์แข็งแรงจากภายใน” พืชดอกและพืชผลต้องการ K มากกว่าพืชใบ เพราะ K ช่วยเรื่องคุณภาพผลผลิตโดยตรง เช่น ความหวาน ความมัน เนื้อแน่น และขนาดผล

ประโยชน์ของโพแทสเซียม (K):

  • เพิ่มคุณภาพผล เช่น ความหวาน สี กลิ่น

  • ทำให้ผลใหญ่ เนื้อแน่น ไม่แตกง่าย

  • ช่วยให้พืชทนต่อสภาพอากาศร้อน–หนาว

  • เสริมภูมิคุ้มกัน ลดโรคและศัตรูพืช

  • ช่วยในการลำเลียงน้ำตาลไปยังผล

  • ทำให้ลำต้นแข็งแรง ไม่ล้มง่าย

อาการของพืชขาดโพแทสเซียม:

  • ขอบใบไหม้ ใบล่างแห้ง

  • ผลเล็ก ไม่หวาน

  • สีผลผลิตไม่สวย

  • ลำต้นอ่อน หักง่าย

  • ออกดอกช้า ผลไม่โต

ถ้าใส่มากเกินไป:

  • ทำให้ดินเค็ม

  • พืชโตช้าลง

  • ใบไหม้เพราะร้อนเกลือ

ดังนั้นพืชไม้ผล ผักผล พืชเศรษฐกิจ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง มะพร้าว ต้องการ K สูงมาก


สรุปง่าย ๆ บทบาทของ N – P – K

• N เน้นใบ
• P เน้นราก–ดอก
• K เน้นผล–ความแข็งแรง

เมื่อรู้หน้าที่แล้ว เราจึงสามารถเลือกสูตรปุ๋ยได้ตรงกับเป้าหมาย เช่น

  • อยากให้ใบสวย → เลือกสูตร N สูง

  • อยากให้ดอกออก → เลือกสูตร P สูง

  • อยากให้ผลโต หวาน สีสวย → เลือกสูตร K สูง

และนี่คือหลักการพื้นฐานที่เกษตรกรควรรู้ก่อนเลือกใช้ปุ๋ยทุกชนิด


ความสำคัญของ N, P, K ต่อการเจริญเติบโตของพืช (ขยายแบบเต็ม)

ธาตุอาหารหลัก 3 ชนิด ได้แก่ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ถือเป็น “พื้นฐานที่พืชทุกชนิดต้องใช้” และมีบทบาทเฉพาะของตัวเอง หากขาดตัวใดตัวหนึ่ง พืชจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่


ไนโตรเจน (N) – ธาตุแห่งใบ เขียวเร็ว โตไว

ไนโตรเจนคือธาตุที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง “คลอโรฟิลล์” ซึ่งเป็นตัวทำให้ใบพืชมีสีเขียว และใช้ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างโปรตีนภายในเซลล์พืช ทำให้พืชโตเร็วสูงขึ้น

หน้าที่หลักของไนโตรเจน (N):

  • ช่วยให้ใบเขียวเข้มและสด

  • กระตุ้นการเจริญเติบโตทางลำต้น

  • เพิ่มจำนวนใบ แตกยอดไว

  • ทำให้พืชแข็งแรงในช่วงเร่งโต

  • เหมาะกับพืชใบ เช่น คะน้า ผักบุ้ง ผักสลัด ต้นหอม โหระพา

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัด:

  • ผักใบเขียวขึ้นเร็ว ขายได้เร็วในตลาด

  • ทำให้ไม้ดอก–ไม้ผลมีฟื้นตัวเร็วหลังตัดแต่งกิ่ง

  • ช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวได้ไวหลังย้ายปลูก

อาการขาดไนโตรเจน:

  • ใบเหลืองทั้งต้น โดยเฉพาะใบล่าง

  • ลำต้นผอม สูงช้า

  • ใบมีสีซีด หงิก

  • พืชโตช้ากว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

อันตรายเมื่อใส่มากเกินไป:

  • พืชจะใช้พลังงานไปที่ “ใบ” มากเกินจนไม่ออกดอก

  • ดอกหลุดง่าย ไม่ติดผล

  • ผักใบเสี่ยงสะสมไนเตรต

  • ต้นอวบอ้วนแต่โครงสร้างอ่อน แม่ลงดินไม่ดี

ดังนั้น “ไนโตรเจนต้องใส่แบบพอดี” เหมาะที่สุดในช่วงเร่งใบและเร่งต้น ไม่เหมาะกับช่วงที่ต้องการดอกและผล


ฟอสฟอรัส (P) – ธาตุแห่งราก ดอก และพลังงานภายในพืช

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่สำคัญในการสร้างราก และยังเป็นส่วนประกอบของ ATP ซึ่งเป็นพลังงานสำหรับการทำงานของเซลล์ ทำให้พืชสามารถสร้างอาหาร ลำเลียงสารอาหาร และเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

หน้าที่หลักของฟอสฟอรัส (P):

  • ช่วยให้รากยาว แข็งแรง แตกแขนงได้ดี

  • ช่วยให้พืชตั้งตัวเร็วหลังปลูก

  • กระตุ้นการเกิด “ตาดอก” ให้ดอกออกตามฤดูกาล

  • เพิ่มอัตราการติดดอก ติดผล

  • ทำให้เมล็ดพัฒนาเต็มเมล็ด มีคุณภาพดี

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัด:

  • พืชไม่ชะงักหลังปลูก

  • รากเดินไว ดูดน้ำและปุ๋ยได้ดี

  • พืชออกดอกตามฤดูกาล ไม่หน่วง

  • ดอกไม่ร่วงง่าย เพิ่มโอกาสติดผล

อาการขาดฟอสฟอรัส:

  • ใบมีสีม่วงคล้ำ หรือแดงเข้ม

  • ต้นแคระ โตช้า

  • รากไม่เดิน ดินแน่น ต้นอั้น

  • ดอกน้อยหรือไม่ออกเลย

  • ผลไม่ติด หรือหลุดร่วงง่าย

ผลเสียหากใส่มากเกินไป:

  • พืชจะขาดธาตุรอง เช่น เหล็ก (Fe), สังกะสี (Zn)

  • ใบเหลืองจากการดูดธาตุรองไม่ขึ้น

  • โตช้าลงแม้จะมีปุ๋ยเยอะ

ฟอสฟอรัสจึงเหมาะกับ “ช่วงเริ่มต้น” และ “ช่วงกระตุ้นดอก” โดยเฉพาะไม้ผลและไม้ดอกที่มีฤดูกาลออกดอกชัดเจน


โพแทสเซียม (K) – ธาตุแห่งคุณภาพผลผลิต ความหวาน สีสวย และความแข็งแรง

โพแทสเซียมช่วยควบคุมการใช้น้ำในพืช การเปิด–ปิดปากใบ รวมถึงการลำเลียงน้ำตาลไปยังส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะ “ผล” ทำให้พืชให้ผลผลิตมีคุณภาพ เช่น รสหวาน เนื้อแน่น และสีสวย

หน้าที่หลักของโพแทสเซียม (K):

  • เพิ่มความหวานในผลไม้

  • ทำให้ผลใหญ่ เนื้อแน่น ไม่แตกง่าย

  • ช่วยให้สีของผลผลิตเข้มสวย เช่น พริก มะเขือ แตงโม

  • เพิ่มความทนทานต่อโรค เช่นรา เพลี้ย

  • เพิ่มความทนแล้ง–ทนหนาว

  • ทำให้ลำต้นแข็งแรง ไม่ล้มง่าย

ประโยชน์ที่เห็นได้ทันที:

  • ผลไม้มีคุณภาพสูงขึ้น ขายได้ราคาดี

  • ผลผลิตส่งออก ทนการขนส่ง

  • ไม้ผล เช่น ลำไย มะม่วง ทุเรียน มีความหวานมากขึ้น

  • ผักผล เช่น แตงกวา พริก มะเขือ ผลดก สีเข้ม

อาการขาดโพแทสเซียม:

  • ขอบใบแห้ง ขอบใบไหม้

  • ผลเล็ก ไม่หวาน

  • สีผลผลิตไม่สด

  • ลำต้นอ่อน หักง่าย

  • ผลสุกไม่สวยหรือรสไม่ดี

อันตรายเมื่อใส่มากเกินไป:

  • ดินอาจเค็ม ทำให้รากไหม้

  • พืชดูดแคลเซียมและแมกนีเซียมยากขึ้น

  • ใบไหม้และโตช้าลง

โพแทสเซียมจึงจำเป็นในไม้ผล ผักผล และพืชเศรษฐกิจ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง มะพร้าว ที่ต้องการคุณภาพผลผลิตสูง


สรุปบทบาทของ N – P – K แบบเข้าใจง่ายที่สุด

• N → ช่วยใบ ช่วยต้น ให้โตไว
• P → ช่วยราก ช่วยดอก ให้ติดดอกง่าย
• K → ช่วยผล ช่วยคุณภาพ เพิ่มความหวาน–ความแข็งแรง

และนี่คือพื้นฐานสำคัญที่สุดในการเลือกปุ๋ยให้เหมาะกับพืชแต่ละชนิด


สูตร NPK แบบไหนเหมาะกับพืชประเภทใด?

ด้านล่างนี้เป็น “ตารางลับที่เกษตรกรใช้ประจำ” จัดเรียงตามประเภทพืชเพื่อให้เลือกใช้ปุ๋ยได้ถูกต้องที่สุด

ตารางที่ 1: สูตรปุ๋ยตามประเภทพืช

ประเภทพืช สูตรปุ๋ยที่แนะนำ ทำไมเหมาะ
ผักใบ 25-7-7 / 20-10-10 / 15-15-15 ต้องการไนโตรเจนสูงเพื่อให้ใบแตกเร็ว
ผักผล เช่น พริก แตงกวา มะเขือ 15-15-15 → 13-13-21 โตต้นช่วงแรก แต่ช่วงผลต้องการโพแทสเซียม
ไม้ผล เช่น มะม่วง ลำไย ทุเรียน 16-20-0 → 8-24-24 → 13-13-21 ต้องการรากดี ดอกดี ผลโต
ดอกไม้ เช่น กุหลาบ กล้วยไม้ 16-20-0 / 12-24-12 กระตุ้นดอกและสีสวย
ข้าว ข้าวโพด 16-20-0 → 46-0-0 → 13-13-21 ต้องการ N สูงช่วงต้น และ K ช่วงสร้างเมล็ด
มันสำปะหลัง 15-7-18 หรือ 13-13-21 เพิ่มหัว เพิ่มปริมาณแป้ง
อ้อย 21-7-14 หรือ 16-8-8 เพิ่มความหวานและความแข็งแรง
มะพร้าว 13-13-21 เพิ่มน้ำ เนื้อหนา เพิ่มผลผลิต

สูตรปุ๋ยตามช่วงอายุของพืช

แต่ละช่วงอายุพืชต้องการธาตุไม่เหมือนกัน การเปลี่ยนสูตรให้ถูกจังหวะจะเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นอย่างเห็นผล

ตารางที่ 2: สูตรปุ๋ยตามช่วงอายุ

ช่วงอายุ สูตรที่เหมาะที่สุด เป้าหมาย
เริ่มปลูก 16-20-0 / 18-22-6 กระตุ้นราก ตั้งตัวเร็ว
แตกใบ เจริญเติบโต 25-7-7 / 20-10-10 เพิ่มใบ เพิ่มความเขียว
เตรียมออกดอก 12-24-12 / 8-24-24 กระตุ้นดอก ลดดอกร่วง
ติดผล 13-13-21 / 15-15-20 ให้ดอกแข็งแรง เพิ่มการติดผล
ขยายผล เพิ่มน้ำหนัก 13-13-21 / 0-0-60 ทำให้ผลใหญ่ สีสวย เพิ่มความหวาน

ตัวอย่างการเลือกสูตรปุ๋ยเฉพาะพืชยอดนิยม

ด้านล่างนี้คือการเลือกสูตรปุ๋ยตามชนิดพืชยอดนิยม พร้อมคำอธิบายอย่างลึกซึ้ง และเหตุผลว่าทำไมต้องใช้สูตรนั้น ๆ รวมถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังได้เมื่อเลือกสูตรถูกต้อง


1) ข้าว – ต้องการแตกกอเร็ว ลำต้นแข็งแรง เมล็ดเต็มรวง

ข้าวเป็นพืชที่ตอบสนองต่อธาตุ N สูงในช่วงต้น และตอบสนองต่อ K สูงในช่วงสร้างเมล็ด

• ช่วงเริ่มปลูก (พัฒนาราก): 16-20-0
– ฟอสฟอรัสสูงช่วยให้รากแตกดี
– ช่วยให้ต้นตั้งตัวได้ไว
– เหมาะสำหรับแปลงนาดินแน่นหรือดินใหม่

• ช่วงแตกกอ (เร่งใบและลำต้น): 46-0-0
– เป็นสูตรที่มีไนโตรเจนสูงมาก
– ช่วยให้ต้นสูง แตกกอดี
– เพิ่มจำนวนต้นต่อกอ → เพิ่มผลผลิตต่อไร่โดยตรง

• ช่วงออกรวง–สร้างเมล็ด: 13-13-21
– โพแทสเซียมสูงช่วยให้
• เมล็ดเต็มรวง
• เมล็ดไม่ลีบ
• เพิ่มความแข็งแรงของต้น
• ช่วยให้ทนโรค ทนลม

ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อให้ปุ๋ยถูกสูตร
– รวงใหญ่ สวย
– เมล็ดเต็มเมล็ด สีสวย
– อัตราผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นชัดเจน


2) ไม้ผลยอดนิยม: มะม่วง – ลำไย – ทุเรียน

ไม้ผลทุกชนิดต้องการ “ปุ๋ยตามระยะ” มากกว่าพืชอื่น เพราะลักษณะการสะสมอาหารยาวนานกว่า

• ช่วงฟื้นต้น/แตกใบ: 15-15-15
– ช่วยให้ฟื้นตัวหลังการเก็บเกี่ยว
– เพิ่มใบให้พร้อมสำหรับสะสมอาหาร
– เป็นสูตรสมดุล เหมาะสำหรับไม้ผลทุกชนิด

• ก่อนออกดอก: 8-24-24
– ฟอสฟอรัสสูงมาก → สร้างตาดอก
– ช่วยให้ดอกออกตรงฤดูกาล
– ลดปัญหาดอกร่วง
– ช่วยให้ดอกแข็งแรง ไม่ฝ่อ

• ช่วงผลโต: 13-13-21
– โพแทสเซียมสูงเพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต
• ผลใหญ่
• เนื้อแน่น
• น้ำหนักดี
• รสชาติหวานขึ้น
• เปลือกแข็งแรง ขนส่งได้ดี

ผลลัพธ์เมื่อใช้ถูกสูตร
– ผลผลิตสวย ขนาดดี
– ดอกติดดีกว่าเดิม
– ผลดก และลดผลร่วงก่อนกำหนด
– เพิ่มปริมาณเกรด A ส่งตลาดได้เยอะขึ้น


3) ผักใบ – ต้องการเร่งใบ สีเขียวสด โตไว

ผักใบถือเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวเร็ว ดังนั้นจึงตอบสนองต่อปุ๋ยได้ไวมาก

• สูตรแนะนำ: 20-10-10 หรือ 25-7-7
– สูตร N สูง = ทำให้ใบเขียวเร็ว
– เหมาะกับผักที่ต้องการความเขียวสด เช่น
• คะน้า
• ผักบุ้ง
• ผักกาดขาว
• ผักชี
• โหระพา

ประโยชน์จากสูตร N สูงในผักใบ
– เพิ่มใบเร็ว ทำให้เก็บขายได้เร็วขึ้น
– ปริมาณต่อไร่มากขึ้น
– ใบสวย ไม่นิ่ม ไม่เหี่ยว
– ลดโอกาสเกิดอาการใบซีดหรือใบเหลือง

ข้อควรระวัง
– ต้องให้แบบ “น้อยแต่บ่อย” เพื่อไม่สะสมไนเตรต
– ห้ามใช้ N สูงใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวมากเกินไป


4) พริก – มะเขือ – ผักผลชนิดอื่น

พืชผักผล เช่น พริก มะเขือ แตง มีสองช่วงสำคัญคือ “โตต้น” และ “ติดผล”

• ช่วงต้น (เร่งต้น): 15-15-15
– เพิ่มใบ เพิ่มความแข็งแรงของต้น
– ช่วยให้พืชพร้อมออกดอก

• ช่วงติดผล: 13-13-21
– เพิ่มโพแทสเซียม → ทำให้ผลแข็งแรง ดก สีเข้ม
– ลดปัญหาดอกร่วง
– เพิ่มน้ำหนักผลและความกรอบ/ความหวาน
– พริกสีเข้มสวย มะเขือกลมใหญ่ เปลือกเป็นมัน

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ตรง ๆ
– ผลดกขึ้นชัดเจน
– รสชาติและสีดีขึ้น
– ลดปัญหาผลร่วงก่อนโตเต็มที่


5) มะพร้าว – เพิ่มน้ำ เพิ่มเนื้อ เพิ่มผลผลิต

มะพร้าวเป็นพืชที่ตอบสนองต่อโพแทสเซียมสูงมากที่สุดชนิดหนึ่ง

• สูตรแนะนำ: 13-13-21
โพแทสเซียมสูงทำให้:
– น้ำมะพร้าวหวานขึ้น
– เนื้อหนา
– ผลใหญ่
– เพิ่มน้ำหนักต่อผล
– ทำให้ต้นแข็งแรงทนลม
– ออกผลสม่ำเสมอทั้งปี

เหมาะสำหรับ:
– มะพร้าวน้ำหอม
– มะพร้าวแกง
– มะพร้าวอ่อนในสวนเชิงการค้า

ผลลัพธ์ที่เกษตรกรมักเห็น:
– น้ำมะพร้าวหวานขึ้น
– จำนวนทะลายเพิ่มขึ้น
– ผลใหญ่และเนื้อหนาขึ้น 20–40%


สรุปแบบเข้าใจง่าย

พืช สูตรแนะนำ เหตุผล
ข้าว 16-20-0 → 46-0-0 → 13-13-21 รากดี แตกกอไว เมล็ดเต็มรวง
ไม้ผล 15-15-15 → 8-24-24 → 13-13-21 ดอกดี ผลสวย คุณภาพสูง
ผักใบ 20-10-10 / 25-7-7 ใบเขียว โตไว คุณภาพดี
พริก–มะเขือ 15-15-15 → 13-13-21 ดอกติดดี ผลดก
มะพร้าว 13-13-21 เพิ่มน้ำ เนื้อหนา ผลใหญ่

วิธีเลือกปุ๋ย NPK ให้ได้ผลดีที่สุด

เลือกตามประเภทพืช
• พืชใบ เน้น N
• พืชดอก เน้น P
• พืชผล เน้น K

เลือกตามสภาพดิน
• ถ้าดินแข็ง → ใช้สูตร P สูง เพื่อให้รากเดินดี
• ถ้าใบซีด เหลือง → ใช้สูตร N สูง

เลือกตามฤดูกาล
• ช่วงฝน ควรใช้สูตร K สูง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดโรค


เคล็ดลับการใส่ปุ๋ยที่เกษตรกรมืออาชีพใช้กัน

  1. ใส่น้อยแต่บ่อย
    เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด เพราะพืชดูดซึมได้เต็มที่ ไม่สะสมเกลือในดิน

  2. ใส่หลังฝนหยุด 1 วัน
    ดินชื้นกำลังดี ปุ๋ยไม่ถูกชะล้าง

  3. เสริมธาตุรอง–ธาตุเสริม
    ช่วยเพิ่มผลผลิต 20–40% เช่น
    • แคลเซียม – ลดผลแตก
    • แมกนีเซียม – ช่วยให้ใบเขียว
    • โบรอน – ทำให้ดอกติดดี

  4. ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ร่วมด้วย
    ช่วยให้ดินร่วนซุย ถือว่าเป็นสูตรที่ดีที่สุดสำหรับทุกชนิดพืช


ผลเสียถ้าใช้ปุ๋ยผิดสูตร

• ใส่ N มากเกิน → ใบเยอะ ผลน้อย ดอกร่วง
• ใส่ P มากเกิน → ต้นแคระ โตช้า
• ใส่ K น้อยช่วงทำผล → ผลเล็ก ไม่หวาน สีไม่สวย


สรุปแบบชัดเจนที่สุด

• ถ้าต้องการใบ → ใช้สูตร N สูง
• ถ้าต้องการดอก → ใช้สูตร P สูง
• ถ้าต้องการผล → ใช้สูตร K สูง
• พืชผลควรเปลี่ยนสูตรเป็นช่วง ๆ
• สูตรสมดุลอย่าง 15-15-15 ใช้ได้ทั่วไป แต่ไม่เด่นเฉพาะด้าน
• ใส่น้อยแต่บ่อยดีที่สุด
• อย่าลืม “เสริมธาตุรอง” ถ้าต้องการผลผลิตคุณภาพสูง

 ติดต่อสั่งซื้อสินค้าPremium Car Care Set (น้ำยาเคลือบเงารถ, น้ำยาเคลือบเงาเบาะ, ทาล้อดำ Super Black)

สนใจติดต่อ เวิลด์เคมีคอล กรุ๊ป ผู้นําด้านการจําหน่ายและนำเข้า สารเคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ประเภท เคมีอุตสาหกรรม เคมีทําความสะอาด เคมีสระว่ายน้ำ เคมีบำบัดน้ำ เคมีงานปั้น-งานหล่อ เคมีอาหาร กลิ่น สารสกัด สี น้ำหอม เคมีเครื่องสำอาง อาทิ กลีเซอรีน โซดาไฟเกล็ด โซเดียมเมต้าไบซัลไฟต์ เอทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ สารพัดด้านเคมี เวิลด์เคมิคอล กรุ๊ป พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line ID : @worldchemical
Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
เว็บไซต์ : www.worldchemical.co.th
โทร : 053 204 446-7