แก้ปัญหาปูนแตกร้าว/รั่วซึมด้วยโซเดียมซิลิเกต

ปัญหาปูนแตกร้าวและการรั่วซึม ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่เจ้าของบ้าน เจ้าของสระว่ายน้ำ หรือแม้กระทั่งผู้ดูแลอาคารพาณิชย์ต้องเผชิญอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรอยร้าวเส้นเล็กที่แทบมองไม่เห็น หรือรอยแตกลึกที่สังเกตได้ชัดเจน ปัญหาเหล่านี้ล้วนสามารถลุกลามจนสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างได้ในระยะยาว

สาเหตุอาจมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น

  • อายุการใช้งานของอาคารหรือโครงสร้าง ที่ทำให้ปูนเกิดการเสื่อมตัวตามธรรมชาติ

  • การก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ปูนไม่ยึดเกาะกันอย่างแน่นหนา

  • สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม เช่น ความร้อนจัด ฝนตกหนัก หรือการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่รวดเร็ว ซึ่งทำให้ปูนขยายและหดตัวจนเกิดรอยร้าว

  • แรงสั่นสะเทือน จากการใช้งานหรือการก่อสร้างใกล้เคียง

หากปล่อยให้รอยแตกร้าวและรั่วซึมดำเนินต่อไปโดยไม่แก้ไข ไม่เพียงทำให้ความสวยงามของพื้นที่ลดลง แต่ยังเป็นช่องทางให้ความชื้น น้ำ หรือสารเคมีซึมเข้าสู่โครงสร้าง จนก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ เช่น การกัดกร่อนเหล็กเสริม การหลุดร่อนของผิวปูน หรือแม้กระทั่งการทรุดตัวของโครงสร้าง ซึ่งจะนำมาซึ่ง ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงกว่าหลายเท่า

หนึ่งในวิธีการซ่อมแซมและป้องกันที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน คือการใช้ โซเดียม ซิลิเกต (Sodium Silicate) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “น้ำแก้ว” ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถซึมลึกเข้าสู่เนื้อปูนและทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ภายในปูน สร้างผลึกซิลิเกตที่ช่วยอุดรอยร้าวเล็ก ๆ และลดการซึมผ่านของน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยความสามารถในการปิดรอยรั่วซึมแบบ ถาวรกว่าการซ่อมแซมเพียงผิวหน้า รวมถึงช่วยเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างและยืดอายุการใช้งาน โซเดียม ซิลิเกตจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งด้าน ความคุ้มค่า ความรวดเร็ว และความทนทาน สำหรับการดูแลรักษาพื้นผิวปูนในทุกประเภทงาน ตั้งแต่บ้านพักอาศัย สระว่ายน้ำ อาคารสำนักงาน ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม


โซเดียมซิลิเกต,เคมีภัณฑ์,สารเคมีภัณฑ์,เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม,เคมีภัณฑ์เชียงใหม่,ร้านเคมีใกล้ฉัน
โซเดียมซิลิเกต,เคมีภัณฑ์,สารเคมีภัณฑ์,เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม,เคมีภัณฑ์เชียงใหม่,ร้านเคมีใกล้ฉัน

ทำความรู้จักกับโซเดียมซิลิเกต

โซเดียม ซิลิเกต (Sodium Silicate) หรือที่บางครั้งเรียกว่า “น้ำแก้ว” เป็นสารประกอบเคมีในกลุ่ม ซิลิเกต (Silicate) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของโซเดียมออกไซด์ (Na₂O) และซิลิกา (SiO₂) ละลายในน้ำ จนได้สารละลายที่มีลักษณะเป็นของเหลวใสหรือขุ่นเล็กน้อย มีความหนืดปานกลาง และมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อน ๆ

แม้รูปลักษณ์จะดูธรรมดา แต่โซเดียม ซิลิเกตมีคุณสมบัติทางวิศวกรรมที่โดดเด่น จนถูกนำมาใช้ทั้งในงานก่อสร้าง งานซ่อมแซม และงานอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท

คุณสมบัติเด่นของโซเดียมซิลิเกต

  1. ซึมเข้าสู่เนื้อปูนได้ดี
    โซเดียม ซิลิเกตสามารถแทรกซึมเข้าไปในรูพรุนของคอนกรีตหรือปูนได้ลึก ด้วยหลักการ แรงดึงผิว (Capillary Action) จึงไม่เพียงเคลือบผิวด้านนอก แต่เข้าไปถึงชั้นในของวัสดุ

  2. เกิดปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)₂)
    ในปูนซีเมนต์ที่แข็งตัวแล้ว มักมีแคลเซียมไฮดรอกไซด์หลงเหลืออยู่ เมื่อโซเดียม ซิลิเกตซึมเข้าไป จะทำปฏิกิริยาเคมีกับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ กลายเป็น แคลเซียมซิลิเกตไฮเดรต (C-S-H) ซึ่งเป็นสารเดียวกับที่เกิดในกระบวนการเซ็ตตัวของปูน ทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างและอุดรูพรุน

  3. ลดการซึมผ่านของน้ำ (Waterproofing Effect)
    เมื่อรูพรุนถูกอุดด้วย C-S-H น้ำและความชื้นจึงไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ง่าย ลดปัญหาการรั่วซึมและการเสื่อมสภาพของโครงสร้าง

  4. เพิ่มความทนทานต่อสารเคมี
    โซเดียม ซิลิเกตช่วยให้คอนกรีตต้านทานการกัดกร่อนจากสารเคมีบางชนิด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ที่มีการสัมผัสกับกรด–ด่างอ่อน ๆ

ทำไมโซเดียมซิลิเกตจึงไม่ใช่แค่สารเคลือบผิว?

ต่างจากสารเคลือบกันน้ำทั่วไปที่ทำงานเพียงปกปิดผิวหน้า โซเดียม ซิลิเกตทำงานในเชิงลึก ระดับโมเลกุล ด้วยการสร้างปฏิกิริยาเคมีภายในเนื้อปูน ทำให้โครงสร้างแข็งแรงขึ้นจากภายใน และคุณสมบัติกันน้ำไม่เสื่อมสลายง่ายเหมือนสารเคลือบที่ลอกหรือสึกตามกาลเวลา

การประยุกต์ใช้โซเดียม ซิลิเกตในงานจริง

  • งานซ่อมแซมคอนกรีต – ใช้ทาบนพื้น ผนัง หรือเพดานเพื่ออุดรูพรุนและเพิ่มความทนทาน

  • กันซึม – เหมาะกับพื้นโรงงาน ลานจอดรถ สระน้ำ หรือผนังชั้นใต้ดิน

  • เสริมความแข็งแรง – ใช้กับคอนกรีตเก่าเพื่อยืดอายุการใช้งาน

  • อุตสาหกรรมอื่น ๆ – เช่น ตัวประสานในงานหล่อโลหะ วัสดุทนไฟ หรือสารยึดเกาะในอิฐ


กลไกการทำงานของโซเดียมซิลิเกตในปูน
กลไกการทำงานของโซเดียมซิลิเกตในปูน

กลไกการทำงานของโซเดียมซิลิเกตในปูน

โซเดียม ซิลิเกต (Sodium Silicate) หรือที่บางครั้งเรียกว่า “น้ำแก้ว” เป็นสารเคมีที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเสริมความทนทานให้กับพื้นผิวปูนและคอนกรีต ด้วยคุณสมบัติที่สามารถ ซึมลึกเข้าไปในเนื้อปูน และเกิดปฏิกิริยาเคมีกับสารประกอบภายในเพื่อสร้างชั้นป้องกันที่แข็งแรงและทนทานต่อการซึมผ่านของน้ำ ความชื้น และสารเคมีบางชนิด

กลไกการทำงานของโซเดียม ซิลิเกตสามารถอธิบายได้ 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

1. การซึมลึกเข้าสู่เนื้อปูน

เมื่อทาโซเดียม ซิลิเกตลงบนพื้นผิวปูนหรือคอนกรีตในสภาพเหลว สารจะถูกดูดซึมเข้าสู่ รูพรุน (Pores) และ รอยแตกขนาดเล็ก (Microcracks) ของเนื้อปูน เนื่องจากปูนซีเมนต์มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยช่องว่างและรูเล็ก ๆ อยู่ตามธรรมชาติ ทำให้สารสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ลึกกว่าเคลือบผิวทั่วไป

  • การซึมลึกนี้มีความสำคัญมาก เพราะช่วยให้สารเคมีทำงานได้จากภายใน ไม่เพียงปกป้องผิวด้านนอก แต่ยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับชั้นโครงสร้างลึก ๆ ของปูนด้วย

2. การทำปฏิกิริยาเคมีกับแคลเซียมไฮดรอกไซด์

ภายในเนื้อปูนที่ผสมและแข็งตัวแล้ว จะมีสารหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาระหว่างปูนซีเมนต์กับน้ำ นั่นคือ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)₂) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการไฮเดรชันของปูนซีเมนต์

  • เมื่อโซเดียม ซิลิเกตซึมเข้าไปถึงเนื้อปูน สารนี้จะทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์

  • ผลที่ได้จากปฏิกิริยาคือ แคลเซียมซิลิเกตไฮเดรต (Calcium Silicate Hydrate – C-S-H) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างหนาแน่น แข็งแรง และทนทานสูง

  • C-S-H เป็นสารชนิดเดียวกับที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในกระบวนการแข็งตัวของปูน และเป็นตัวหลักที่ทำให้ปูนมีความแข็งแรงเชิงโครงสร้าง

3. การปิดผนึกรอยแตกและรูพรุน

เมื่อ C-S-H ก่อตัวขึ้น มันจะกระจายตัวไปอุดรูพรุนและรอยแตกขนาดเล็กในเนื้อปูน ทำให้ความสามารถในการซึมผ่านของน้ำ (Permeability) และความชื้นลดลงอย่างมาก

  • การปิดผนึกนี้ไม่เพียงช่วยป้องกันน้ำซึมเข้าสู่โครงสร้าง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการกัดกร่อนของเหล็กเสริม (Rebar Corrosion) ซึ่งมักเกิดเมื่อความชื้นและออกซิเจนซึมเข้ามา

  • ผลลัพธ์คือพื้นผิวและโครงสร้างปูนจะทนทานต่อการเสื่อมสภาพจากสภาพแวดล้อม เช่น ฝน กรดอ่อน สารเคมี และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ


ข้อดีของการใช้โซเดียมซิลิเกต

1. ซ่อมเชิงลึก ไม่ใช่แค่เคลือบผิว

โซเดียม ซิลิเกตมีคุณสมบัติที่สามารถซึมลึกเข้าไปในเนื้อวัสดุที่มีรูพรุน เช่น คอนกรีต ปูน หรืออิฐ เมื่อซึมเข้าไปแล้วจะทำปฏิกิริยาทางเคมีกับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ที่อยู่ในปูน เกิดเป็นสารประกอบซิลิเกตที่มีความแข็งแรงสูง การซ่อมแซมจึงไม่ใช่เพียงการปกปิดปัญหาที่ผิว แต่เป็นการ เสริมโครงสร้างจากภายใน ช่วยป้องกันการแตกร้าวและยืดอายุการใช้งานได้อย่างแท้จริง

2. เพิ่มความแข็งแรงของปูน เพราะเกิดเนื้อวัสดุใหม่ที่มีความหนาแน่นสูง

เมื่อโซเดียม ซิลิเกตทำปฏิกิริยากับปูน จะสร้างผลึกซิลิเกตใหม่ที่อุดรูพรุนในเนื้อปูน ทำให้เนื้อวัสดุมี ความหนาแน่นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้พื้นผิวทนต่อแรงกด แรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น เหมาะสำหรับพื้นโรงงาน โกดัง หรือพื้นที่ที่มีการใช้งานหนักต่อเนื่อง

3. ทนต่อสารเคมีและการกัดกร่อน

หนึ่งในจุดเด่นของโซเดียม ซิลิเกตคือการสร้างชั้นป้องกันที่มีความเฉื่อยทางเคมี ทำให้ทนต่อการกัดกร่อนจากกรดอ่อน ด่างอ่อน น้ำมัน และสารเคมีหลายชนิดได้ดี ลดโอกาสเกิดความเสียหายจากการรั่วไหลของสารเคมีในพื้นที่อุตสาหกรรม

4. อายุการใช้งานยาวนาน

การซ่อมแซมด้วยโซเดียม ซิลิเกตไม่ได้เพียงแค่แก้ปัญหาชั่วคราว แต่เป็นการเสริมความแข็งแรงและป้องกันการเสื่อมสภาพในระยะยาว ชั้นซิลิเกตที่เกิดขึ้นมีความเสถียรสูง ไม่เสื่อมสลายง่ายเมื่อโดนความร้อนหรือสภาพอากาศ ทำให้โครงสร้างคงทนหลายปีโดยไม่ต้องซ่อมซ้ำบ่อย ๆ

5. ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการรื้อซ่อม

เมื่อเปรียบเทียบกับการรื้อโครงสร้างออกแล้วทำใหม่ การใช้โซเดียม ซิลิเกตมี ต้นทุนต่ำกว่าอย่างมาก ทั้งค่าแรงและค่าวัสดุ อีกทั้งยังลดเวลาการหยุดใช้งานพื้นที่ จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับงานซ่อมแซมเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่ต้องการประหยัดงบประมาณและเวลา


วิธีการใช้งานโซเดียมซิลิเกตอย่างถูกวิธี

การใช้งาน โซเดียม ซิลิเกต (Sodium Silicate) ให้ได้ผลสูงสุดนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการเตรียมพื้นผิว การผสม และการบ่มอย่างถูกวิธี ซึ่งมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการซึมลึกและการเสริมความแข็งแรงของพื้นผิวซีเมนต์หรือคอนกรีต

1. การเตรียมพื้นผิว

ก่อนเริ่มใช้งาน จำเป็นต้องตรวจสอบสภาพพื้นผิวอย่างละเอียด เพราะพื้นผิวที่สะอาดและปราศจากสิ่งปนเปื้อนจะช่วยให้โซเดียม ซิลิเกตซึมเข้าไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • ทำความสะอาด: ใช้แปรงลวดหรือเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงทำความสะอาดให้ปราศจากฝุ่นผง เศษปูนหลุดร่อน คราบน้ำมัน หรือคราบไขมัน

  • กำจัดสิ่งปนเปื้อน: คราบน้ำมันและไขมันควรล้างออกด้วยน้ำยาล้างที่ไม่มีสารตกค้าง

  • ตรวจสอบรอยแตกร้าว: หากพบรอยแตกขนาดใหญ่ ควรซ่อมแซมด้วยปูนซ่อมหรือซีเมนต์ก่อน เพื่อป้องกันการรั่วซึมและให้การเคลือบมีความสม่ำเสมอ

  • ทำให้พื้นผิวหมาด: พื้นผิวไม่ควรเปียกน้ำจนชุ่ม แต่ควรมีความชื้นเล็กน้อยเพื่อช่วยการซึมของสาร

2. การผสมและเตรียมสาร

โซเดียม ซิลิเกตในท้องตลาดมีให้เลือกทั้ง แบบพร้อมใช้ (Ready-to-use) และ แบบเข้มข้น (Concentrate) ซึ่งผู้ใช้งานต้องผสมเจือจางตามคำแนะนำของผู้ผลิต

  • อัตราส่วนผสมทั่วไป:

    • งานซึมลึกหรือพื้นผิวพรุนมาก: ผสม 1:1 (โซเดียม ซิลิเกต : น้ำ)

    • งานทั่วไปหรือพื้นผิวค่อนข้างแน่น: ผสม 1:2 ถึง 1:3

  • การผสม: ควรใช้ภาชนะพลาสติกหรือสเตนเลส หลีกเลี่ยงภาชนะโลหะธรรมดาเพราะอาจทำปฏิกิริยากับสาร

  • การคนสาร: คนให้เข้ากันอย่างทั่วถึงเพื่อให้ความเข้มข้นสม่ำเสมอก่อนนำไปใช้งาน

3. การทา / พ่นสาร

ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจสำคัญของการใช้งาน เพราะจะเป็นการส่งโซเดียม ซิลิเกตเข้าสู่เนื้อคอนกรีตหรือซีเมนต์

  • อุปกรณ์ที่ใช้ได้: แปรง ลูกกลิ้ง หรือเครื่องพ่นแรงดันต่ำ

  • วิธีการทา:

    • ทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการซ่อมหรือเคลือบ

    • สำหรับพื้นผิวที่มีการดูดซึมสูง ควรทาให้ชุ่มและเน้นซ้ำบริเวณที่แห้งเร็ว

  • เวลาการซึม: ปล่อยให้สารซึมเข้าสู่พื้นผิวประมาณ 20–30 นาที

  • การทาซ้ำ: หากพบว่าพื้นผิวดูดซึมเร็วหรือแห้งเร็วกว่าปกติ สามารถทาซ้ำชั้นที่ 2 ได้ทันที

4. การบ่มและการปกป้อง

หลังจากทาหรือพ่นโซเดียม ซิลิเกตแล้ว จำเป็นต้องให้สารทำปฏิกิริยากับเนื้อคอนกรีตจนสมบูรณ์

  • ช่วง 24 ชั่วโมงแรก: หลีกเลี่ยงการให้พื้นผิวโดนน้ำฝน น้ำล้าง หรือความชื้นมากเกินไป เพราะอาจชะล้างสารออกก่อนที่ปฏิกิริยาจะเกิดเต็มที่

  • ระยะเวลาบ่มเต็มที่: กระบวนการซึมลึกและทำปฏิกิริยากับซิลิกาในปูนจะใช้เวลาประมาณ 7–14 วัน จึงจะได้ความแข็งแรงและการกันซึมที่สมบูรณ์

  • การตรวจสอบผลลัพธ์: หลังครบกำหนด สามารถทดสอบโดยการหยดน้ำบนพื้นผิว หากน้ำเกาะเป็นหยดและไม่ซึมลงไป แสดงว่าการเคลือบได้ผลดี

เคล็ดลับการใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

  • เลือกช่วงเวลาทำงานที่อุณหภูมิ 15–30°C เพื่อให้ปฏิกิริยาเกิดอย่างเหมาะสม

  • อย่าทาในช่วงแดดจัด เพราะความร้อนสูงอาจทำให้สารแห้งเร็วเกินไป

  • สำหรับพื้นผิวใหม่ ควรรออย่างน้อย 7 วันหลังเทปูน ก่อนทาโซเดียม ซิลิเกต

  • สวมถุงมือ แว่นตา และหน้ากากป้องกันทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย


ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

1. ซ่อมพื้นคอนกรีตโรงงาน

ในโรงงานอุตสาหกรรม พื้นคอนกรีตต้องรับภาระหนักทั้งจากเครื่องจักร การเคลื่อนย้ายสินค้า และการสัมผัสกับสารเคมีหรือน้ำมันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป พื้นอาจเกิด รอยแตกร้าวเล็ก (Hairline Cracks) หรือมีรูพรุนที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นช่องทางให้ความชื้นและสารเคมีซึมเข้าสู่เนื้อคอนกรีต ทำให้โครงสร้างอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ

การซ่อมด้วยวัสดุซึมลึก (เช่น น้ำยาซีลกันซึมชนิดพิเศษ) จะช่วยให้สารเคลือบซึมลงไปในรูพรุนและรอยแตกเล็ก ๆ จนเกิดการปิดผนึกจากภายใน พร้อมสร้างชั้นป้องกันไม่ให้น้ำมัน สารเคมี หรือความชื้นแทรกซึมได้ ส่งผลให้ พื้นมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงระยะยาว

2. แก้ปัญหาสระว่ายน้ำรั่วซึม

สระว่ายน้ำที่มีปัญหาน้ำรั่วซึม อาจเกิดจากรอยแตกหรือรูพรุนในโครงสร้างปูนใต้กระเบื้อง ซึ่งถ้าไม่แก้ไขให้ตรงจุด อาจทำให้ต้องซ่อมซ้ำหลายครั้ง เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย

การซ่อมที่ได้ผลคือ การใช้สารซึมลึกเข้าไปในเนื้อปูนโครงสร้างก่อนการปูกระเบื้องใหม่ สารนี้จะซึมเข้าไปปิดรูพรุนและรอยแตกเล็ก ๆ ทำให้ปูนกันซึมจากภายใน ลดความเสี่ยงการรั่วซ้ำ และช่วยป้องกันน้ำซึมออกในอนาคต เมื่อปูกระเบื้องและยาแนวแล้ว จึงได้สระว่ายน้ำที่แข็งแรงและปลอดการรั่วซึม

3. ซ่อมรอยแตกร้าวบนผนังกันดิน

ผนังกันดิน (Retaining Wall) เป็นโครงสร้างที่ต้องรับแรงดันจากดินและน้ำตลอดเวลา หากเกิดรอยแตกร้าวแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นช่องทางให้น้ำและความชื้นซึมเข้าสู่โครงสร้างได้ ซึ่งอาจทำให้เหล็กเสริมภายในเป็นสนิม และโครงสร้างเสียหายรุนแรงในระยะยาว

การซ่อมด้วยวัสดุซึมลึกจะช่วยให้สารเคมีเข้าไปปิดรอยแตกจากด้านในและสร้างชั้นป้องกันน้ำซึมเข้าโครงสร้าง พร้อมเพิ่มความแข็งแรงในจุดที่แตกร้าว ทำให้ผนังกันดินมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น และลดความเสี่ยงการซ่อมใหญ่ในอนาคต


ข้อควรระวัง

การทำงานกับ โซเดียม ซิลิเกต (Sodium Silicate) หรือที่รู้จักกันว่า “น้ำแก้ว” จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัย เนื่องจากสารนี้มีคุณสมบัติเป็น สารด่าง (Alkaline) ที่สามารถกัดกร่อนผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อนได้

  1. สวมถุงมือและแว่นตานิรภัยทุกครั้ง

    • โซเดียม ซิลิเกตมีฤทธิ์ด่าง ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังแห้ง ระคายเคือง หรือเกิดแผลไหม้สารเคมี

    • แว่นตานิรภัยช่วยป้องกันละอองหรือการกระเด็นเข้าดวงตา ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น

    • ควรใช้ถุงมือที่ทนสารเคมี เช่น ถุงมือยางไนไตรล์

  2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังและดวงตา

    • หากสารสัมผัสผิวหนัง ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากทันที

    • ถ้าเข้าตา ควรล้างด้วยน้ำไหลอย่างน้อย 15 นาที และรีบไปพบแพทย์

    • ควรทำงานในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี เพื่อป้องกันการสูดดมละอองสาร

  3. ไม่ควรใช้ในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวหรือการสั่นสะเทือนมาก

    • โซเดียม ซิลิเกตเหมาะสำหรับอุดรอยรั่วหรือรอยแตกที่นิ่งและไม่ขยับตัว

    • หากรอยแตกยังมีการขยายหรือเคลื่อนตัวอยู่ สารจะไม่สามารถยึดเกาะได้อย่างถาวร ทำให้การซ่อมแซมล้มเหลว

    • ก่อนใช้งาน ควรตรวจสอบโครงสร้างให้มั่นใจว่ารอยร้าวอยู่ในสภาพคงที่แล้ว

  4. การจัดเก็บและกำจัดสารอย่างถูกวิธี

    • เก็บในภาชนะปิดสนิทและพ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

    • หลีกเลี่ยงความร้อนสูงหรือแสงแดดตรง ๆ เพื่อป้องกันการเสื่อมคุณภาพของสาร

    • หากต้องทิ้ง ควรเจือจางด้วยน้ำและปรับค่าความเป็นกลาง (pH) ก่อนปล่อยลงท่อระบายน้ำ

สรุป: การใช้โซเดียม ซิลิเกตอย่างปลอดภัยไม่ใช่แค่การปกป้องร่างกายจากการสัมผัสสารโดยตรง แต่ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสภาพงานและพื้นที่ใช้งาน เพื่อให้การซ่อมแซมมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


เปรียบเทียบการซ่อมและฟื้นฟูไม้หรือพื้นผิวกับวิธีอื่น

แม้ กรดอ๊อกซาลิก จะโดดเด่นในด้านการฟอกสีและคืนความงามให้ไม้ แต่ถ้าพูดถึงการซ่อมแซมเนื้อไม้หรือพื้นผิวที่มีปัญหาอื่น ๆ เช่น รอยแตก รูพรุน หรือการเสื่อมสภาพจากน้ำ ก็มีวัสดุและเทคนิคหลายแบบให้เลือก ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้

วิธีซ่อม ข้อดี ข้อจำกัด
โซเดียม ซิลิเกต (Sodium Silicate) มีคุณสมบัติซึมลึกลงไปในเนื้อวัสดุ ช่วยปิดรูพรุนได้อย่างถาวร และเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้าง สามารถใช้ป้องกันการซึมของน้ำและสารเคมีได้ดี ไม่เหมาะกับรอยแตกขนาดใหญ่หรือช่องว่างกว้าง เนื่องจากการซึมลึกมีขีดจำกัด และไม่สามารถสร้างแรงยึดเกาะเชิงโครงสร้างได้
อีพ็อกซี่ (Epoxy) ให้ความแข็งแรงสูง สามารถยึดเกาะได้ดีกับทั้งไม้ โลหะ และคอนกรีต เหมาะสำหรับการซ่อมที่ต้องการความทนทานต่อแรงกด แรงดึง หรือแรงกระแทก สามารถกันน้ำและสารเคมีได้ดีมาก ราคาค่อนข้างสูง และขั้นตอนเตรียมพื้นผิวต้องทำอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ยึดเกาะได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งต้องผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการแข็งตัวไม่สมบูรณ์
ปูนซ่อมผสมสารกันซึม ใช้งานง่าย สามารถผสมและทาได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ เหมาะกับการซ่อมพื้นผิวที่ไม่ต้องรับแรงมาก มีคุณสมบัติกันน้ำในระดับหนึ่ง ประสิทธิภาพการกันน้ำจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่โดนแดดและฝนบ่อย ต้องมีการบำรุงหรือซ่อมซ้ำเป็นระยะ

วิเคราะห์ความแตกต่างเชิงลึก

  1. ความทนทาน

    • อีพ็อกซี่ให้ความแข็งแรงมากที่สุด เหมาะกับงานซ่อมที่ต้องรับน้ำหนักหรือแรงกดสูง

    • โซเดียม ซิลิเกตมีความทนทานเชิงโครงสร้างปานกลาง แต่โดดเด่นเรื่องปิดรูพรุนและกันซึม

    • ปูนซ่อมผสมสารกันซึมเหมาะกับงานชั่วคราวหรือพื้นที่ไม่รับแรงมาก

  2. การป้องกันน้ำและสารเคมี

    • อีพ็อกซี่และโซเดียม ซิลิเกต กันน้ำและสารเคมีได้ดีเยี่ยม

    • ปูนซ่อมผสมสารกันซึมกันน้ำได้ในช่วงแรก แต่จะเสื่อมตามเวลา

  3. ความสะดวกในการใช้งาน

    • ปูนซ่อมผสมสารกันซึมใช้ง่ายที่สุด ไม่ต้องเตรียมผสมหลายขั้นตอน

    • โซเดียม ซิลิเกตใช้ง่าย แต่ต้องมั่นใจว่าพื้นผิวสะอาดและแห้ง

    • อีพ็อกซี่ต้องใช้ความชำนาญและควบคุมอัตราส่วนผสมอย่างแม่นยำ

  4. ต้นทุน

    • ปูนซ่อมมีต้นทุนต่ำสุด

    • โซเดียม ซิลิเกตราคาอยู่ระดับกลาง

    • อีพ็อกซี่มีต้นทุนสูงสุด แต่ก็ให้ความทนทานสูงสุดเช่นกัน


บทสรุป

การใช้ โซเดียม ซิลิเกต แก้ปัญหาปูนแตกร้าวและรั่วซึม เป็นเทคนิคที่ทั้งประหยัดและได้ผลดีในระยะยาว เหมาะสำหรับงานซ่อมเชิงป้องกันและบำรุงรักษาโครงสร้างที่ยังไม่เสียหายรุนแรง โดยหากใช้อย่างถูกต้องตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมพื้นผิวจนถึงการบ่ม จะช่วยยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างไปได้อีกหลายปี และลดความเสี่ยงการซ่อมใหญ่ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

 

 

 

 

 ติดต่อสั่งซื้อสินค้าเลือกซื้อ

สนใจติดต่อ เวิลด์เคมีคอล กรุ๊ป ผู้นําด้านการจําหน่ายและนำเข้า สารเคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ประเภท เคมีอุตสาหกรรม เคมีทําความสะอาด เคมีสระว่ายน้ำ เคมีบำบัดน้ำ เคมีงานปั้น-งานหล่อ เคมีอาหาร กลิ่น สารสกัด สี น้ำหอม เคมีเครื่องสำอาง อาทิ กลีเซอรีน โซดาไฟเกล็ด โซเดียมเมต้าไบซัลไฟต์ เอทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ สารพัดด้านเคมี เวิลด์เคมิคอล กรุ๊ป พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line ID : @worldchemical
Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
เว็บไซต์ : www.worldchemical.co.th
โทร : 053 204 446-7