7 เครื่องมือวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่นักเรียนควรรู้จัก
ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ การเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากตำราเท่านั้น แต่เกิดจากการทดลองจริงที่นักเรียนได้ใช้ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เพื่อสังเกต วิเคราะห์ และสรุปผล เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงช่วยในการทำงานให้แม่นยำ แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการเข้าใจหลักวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง
1. บีกเกอร์ (Beaker)
🧪 หน้าที่หลัก:
บีกเกอร์เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ มีหน้าที่ใช้สำหรับผสมสารเคมี สังเกตปฏิกิริยาเคมี และให้ความร้อนกับของเหลว ใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่การเตรียมสารไปจนถึงการรองรับของเหลวที่ทำปฏิกิริยาแล้ว บางครั้งยังใช้ในการละลายของแข็งให้กลายเป็นสารละลาย หรือแช่ตัวอย่างไว้ชั่วคราวระหว่างการทดลองอื่นๆ
🧷 ลักษณะเฉพาะของบีกเกอร์:
-
รูปร่าง: ทรงกระบอก ปากกว้าง มีฐานกว้างเพื่อความมั่นคง
-
ปากบีกเกอร์: มีปากเล็กๆ สำหรับเทของเหลวอย่างสะดวก
-
หน่วยวัด: มีขีดระดับปริมาตร (Graduation Mark) แสดงปริมาณเป็นมิลลิลิตร (mL) แต่เป็นค่าประมาณ ไม่ใช่ค่าที่แม่นยำ
-
วัสดุ: ทำจากแก้วบอโรซิลิเกต (Borosilicate Glass) ที่ทนความร้อน หรือพลาสติกในงานที่ไม่ต้องใช้ความร้อน
🔥 การใช้งานที่หลากหลาย:
-
ผสมสารเคมีหลายชนิดเข้าด้วยกันอย่างปลอดภัย
-
อุ่นของเหลวบนตะแกรงรองและตะเกียงแอลกอฮอล์
-
เก็บตัวอย่างชั่วคราวเพื่อรอการถ่ายเทหรือทำปฏิกิริยาเพิ่มเติม
-
ใช้รองรับสารละลายที่ต้องวัดค่าทางเคมี เช่น pH, ความเข้มข้น ฯลฯ
⚠️ ข้อควรรู้และข้อควรระวัง:
-
บีกเกอร์มีขีดวัดปริมาตร แต่ ไม่ควรใช้ในการวัดสารอย่างแม่นยำ เพราะค่าที่ได้เป็นเพียงการประมาณเท่านั้น หากต้องการความแม่นยำควรใช้กระบอกตวงหรือปิเปตต์แทน
-
ควรเลือกขนาดบีกเกอร์ให้พอดีกับปริมาณสาร ไม่ควรใส่จนล้น เพราะสารเคมีอาจหกหรือเกิดอันตรายได้ขณะให้ความร้อน
-
หากบีกเกอร์เป็นแก้ว ควรตรวจสอบว่าปราศจากรอยร้าวก่อนใช้งานเพื่อป้องกันการแตกขณะให้ความร้อน
-
เมื่อต้องการเทสารจากบีกเกอร์ ควรจับด้วยผ้าหรือคีมกันร้อน (ถ้าเพิ่งให้ความร้อน) และเทจากด้านที่มีปากพวยเพื่อควบคุมทิศทางการไหล
📘 ตัวอย่างการใช้งานจริง:
ในการทดลอง “การละลายเกลือในน้ำ” ครูมักใช้บีกเกอร์ใส่น้ำ แล้วค่อยๆ เติมเกลือลงไปและคนด้วยแก้วคน (Glass Rod) เพื่อดูว่าการละลายเกิดขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำ
2. กระบอกตวง (Graduated Cylinder)
🔬 หน้าที่หลัก:
กระบอกตวงเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการ วัดปริมาตรของของเหลวอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องปฏิบัติการเคมี ชีววิทยา หรือวิทยาศาสตร์ทั่วไป ต่างจากบีกเกอร์หรือขวดรูปกรวยซึ่งมีขีดวัดโดยประมาณ กระบอกตวงมีขีดแบ่งละเอียด ทำให้สามารถอ่านค่าได้อย่างเที่ยงตรงมากกว่า จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการเตรียมสารละลายหรือการตวงของเหลวในปริมาณเฉพาะเจาะจง
🧪 ลักษณะ:
-
กระบอกตวงมีลักษณะเป็น ทรงกระบอกสูงและเรียว ทำจากวัสดุ แก้วใสหรือพลาสติกโปร่งแสง เพื่อให้สามารถมองเห็นระดับของเหลวได้อย่างชัดเจน
-
มี ขีดวัด (Graduation marks) อยู่ด้านข้าง ซึ่งแสดงหน่วยเป็นมิลลิลิตร (mL)
-
ขนาดของกระบอกตวงมีให้เลือกหลายขนาด เช่น 10 mL, 25 mL, 50 mL, 100 mL, 250 mL, ไปจนถึง 1,000 mL
-
ที่ฐานมักเป็นแผ่นแบนทรงกลม เพื่อช่วยให้ยืนตั้งได้อย่างมั่นคงไม่ล้มง่าย
🧠 ข้อควรรู้:
✅ วิธีการใช้งานที่ถูกต้อง:
-
ตั้งกระบอกตวงให้อยู่บนพื้นราบ และมั่นคงก่อนใช้งาน
-
เทของเหลวลงในกระบอกตวงอย่างระมัดระวัง
-
ก้มลงอ่านค่าที่ระดับสายตาเดียวกับผิวของเหลว
-
ให้ดูที่ส่วนโค้งเว้า หรือ “meniscus” ซึ่งเกิดจากแรงตึงผิวของของเหลว (ของเหลวส่วนใหญ่จะเว้าลง)
-
อ่านค่าที่ ส่วนล่างสุดของ meniscus ไม่ใช่ตรงกลางหรือส่วนบน
⚠️ ข้อควรระวัง:
-
หลีกเลี่ยงการจับหรือเทของเหลวขณะถือกระบอกตวงลอยอยู่ เพราะอาจทำให้อ่านค่าผิดได้
-
หากเป็นของเหลวไวไฟหรือกัดกร่อน ควรเลือกใช้กระบอกตวงที่ทำจากวัสดุที่ทนต่อสารเคมี
-
ทำความสะอาดทันทีหลังใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนชนิดของสาร
🔄 เปรียบเทียบกับเครื่องมืออื่น:
-
กระบอกตวง แม่นยำกว่า “บีกเกอร์” แต่ แม่นยำน้อยกว่า “ปิเปตต์” หรือ “เบอร์เรตต์” ที่ใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การไทเทรต (titration)
-
เหมาะกับงานทั่วไปที่ไม่ต้องการความละเอียดถึงระดับไมโครลิตร
🎓 ตัวอย่างการใช้งานจริง:
-
การเตรียมสารละลาย เช่น วัดน้ำกลั่น 200 mL เพื่อใช้ละลายสารเคมี
-
การเก็บข้อมูล ในการทดลอง เช่น วัดปริมาณน้ำที่ดูดซึมในตัวอย่างดินหรือเมล็ดพืช
-
กิจกรรมในห้องเรียน เช่น การทดลองแรงตึงผิว, ความหนาแน่น หรืออัตราการระเหยของของเหลว
✨ เคล็ดลับสำหรับการใช้งานในห้องเรียน:
-
ใช้กระบอกตวงที่มีขนาดใกล้เคียงกับปริมาตรที่ต้องการวัด เพื่อความแม่นยำสูงสุด (เช่น ถ้าต้องการวัด 20 mL ควรใช้กระบอกตวง 25 mL ไม่ใช่ 100 mL)
-
ฝึกนักเรียนให้ สังเกต meniscus อย่างถูกวิธีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อป้องกันความเคยชินในการอ่านค่าผิดพลาด
3. หลอดทดลอง (Test Tube)
✅ หน้าที่หลัก:
หลอดทดลองเป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สุดในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ใช้สำหรับเก็บตัวอย่างสารเคมีในปริมาณเล็กน้อย เพื่อใช้ในการ สังเกตปฏิกิริยาเคมี, ให้ความร้อน, หรือแม้แต่การ เก็บตัวอย่างชีวภาพ เช่น เลือดหรือของเหลวจากพืชและสัตว์ ทั้งนี้ยังสามารถใช้ในการเปรียบเทียบสารหลายชนิดในคราวเดียว โดยเรียงหลอดทดลองหลายหลอดบนแท่นวาง
🧪 ลักษณะเฉพาะของหลอดทดลอง:
-
ทรงกระบอกยาว ปลายด้านหนึ่งปิด
-
ทำจาก แก้วโบโรซิลิเกต (Borosilicate Glass) ที่ทนความร้อนสูง เช่น ยี่ห้อ Pyrex หรือ Duran
-
มีขนาดหลากหลาย เช่น ความจุ 10 ml, 20 ml, 50 ml และ 100 ml
-
บางรุ่นมีขอบพับ (lip) เพื่อให้เทของเหลวสะดวกขึ้น
-
ปัจจุบันยังมีหลอดทดลองชนิด พลาสติก (Plastic Test Tube) สำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องการให้ความร้อน
🔥 การใช้งานทั่วไป:
-
ใช้เก็บและเตรียมสารเคมีเพื่อการทดลอง
-
ใช้ใน ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรด–เบส, การเกิดตะกอน, การสังเกตการเปลี่ยนสี
-
ให้ความร้อนกับของเหลวหรือของแข็ง (เช่น การให้ความร้อนน้ำหรือสารละลายเกลือ)
-
ใช้ร่วมกับ แท่นวางหลอดทดลอง (Test Tube Rack) และ คีมหลอดทดลอง (Test Tube Holder) เพื่อความปลอดภัย
⚠️ ข้อควรรู้ด้านความปลอดภัย:
-
ห้ามหันปากหลอดทดลองเข้าหาตัวหรือผู้อื่น ขณะให้ความร้อน เพราะแรงดันจากไอร้อนอาจทำให้ของเหลวกระเด็นออก
-
ใช้คีมหรือที่จับหลอดทดลองแทนการถือด้วยมือเปล่า
-
หลีกเลี่ยงการใส่สารเคมีที่ทำปฏิกิริยาแรงเกินไปในหลอดที่เล็กเกิน
-
อย่าเติมของเหลวเต็มหลอด ควรเว้นที่ว่างประมาณ 1 ใน 3 เพื่อให้ไอสามารถระบายได้
-
ล้างหลอดทดลองทันทีหลังใช้งาน เพื่อป้องกันสารตกค้างหรือปนเปื้อน
🧼 การดูแลและทำความสะอาด:
-
ใช้แปรงขัดหลอดทดลองโดยเฉพาะ (Test Tube Brush)
-
ควรแช่ในน้ำยาล้างก่อนล้าง เพื่อขจัดคราบสารเคมีฝังแน่น
-
ถ้าใช้ในชีววิทยา ควรนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งอัดไอน้ำ (Autoclave) หลังใช้งาน
🧬 การประยุกต์ใช้ในสาขาต่างๆ:
-
เคมี: ทดลองปฏิกิริยาเล็ก ๆ เช่น การตกตะกอน การสังเกตการเกิดฟอง
-
ชีววิทยา: เก็บตัวอย่างเซลล์ หรือเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์เบื้องต้น
-
ฟิสิกส์: ทดสอบการขยายตัวของของเหลวเมื่อได้รับความร้อน
-
การแพทย์: เก็บตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรือสารชีวภาพอื่นๆ

4. เครื่องชั่งสาร (Balance Scale)
🔍 หน้าที่หลัก
เครื่องชั่งสารเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทดลองวิทยาศาสตร์ โดยใช้สำหรับ วัดมวลของสาร ทั้งในรูปของแข็งและของเหลว เพื่อให้ได้ ค่าที่แม่นยำและน่าเชื่อถือ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความถูกต้องของผลการทดลอง เช่น การเตรียมสารละลายในเคมี การวิเคราะห์องค์ประกอบในชีววิทยา หรือการทดสอบในฟิสิกส์
⚙️ ประเภทของเครื่องชั่งสาร
เครื่องชั่งสารมีหลากหลายประเภท แต่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในห้องปฏิบัติการของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมีดังนี้:
1. เครื่องชั่งดิจิทัล (Digital Balance)
-
คุณสมบัติ: ใช้เซ็นเซอร์ไฟฟ้าในการตรวจจับน้ำหนักและแสดงผลบนหน้าจอ LCD
-
ความละเอียด: ตั้งแต่ 0.1 กรัม ไปจนถึง 0.0001 กรัม (ขึ้นอยู่กับรุ่น)
-
ข้อดี: อ่านค่าง่าย รวดเร็ว และแม่นยำ
-
การใช้งาน: เหมาะกับการทดลองที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การเตรียมสารเคมีในปริมาณเล็กน้อย หรือการชั่งวัตถุที่มีผลต่อปฏิกิริยาทางเคมี
2. เครื่องชั่งแบบสามแขน (Triple Beam Balance)
-
คุณสมบัติ: มีแขน 3 ตัว พร้อมตุ้มน้ำหนักเลื่อนบนรางแต่ละแขน
-
ความละเอียด: โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 0.1 กรัม
-
ข้อดี: ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ทนทาน เรียนรู้หลักการถ่วงสมดุลได้ดี
-
การใช้งาน: นิยมใช้ในระดับมัธยมเพื่อการเรียนรู้หลักการวัดมวลและการปรับสมดุล
🛠️ การใช้งานอย่างถูกต้อง
เพื่อให้การชั่งสารได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:
-
ตั้งเครื่องชั่งบนพื้นเรียบและแน่นหนา
พื้นที่เอียงหรือไม่มั่นคงจะทำให้ผลการชั่งคลาดเคลื่อน -
เปิดเครื่อง (สำหรับแบบดิจิทัล) แล้วรอจนตัวเลขนิ่ง
หากมีระบบปรับศูนย์ (Tare) ให้กดก่อนเริ่มชั่ง -
วางภาชนะที่ใช้ใส่สาร เช่น ถ้วยตวง หรือกระดาษรอง
แล้วกดปรับศูนย์อีกครั้งเพื่อให้ชั่งเฉพาะน้ำหนักของสาร (ไม่รวมภาชนะ) -
ใช้แหนบหรือช้อนตักสารลงบนภาชนะทีละน้อย
เพื่อควบคุมน้ำหนัก และหลีกเลี่ยงการหกหรือล้น -
อ่านค่าน้ำหนักเมื่อค่าคงที่ ไม่กระพริบหรือเคลื่อนไหว
-
หลังใช้งาน ควรทำความสะอาดพื้นผิวเครื่องชั่ง
โดยเฉพาะหากใช้กับสารเคมีที่อาจกัดกร่อนหรือเป็นอันตราย
⚠️ ข้อควรระวัง
-
หลีกเลี่ยงการวางสารเคมีหรือวัตถุเปียกโดยตรงลงบนถาดชั่ง ควรใช้ภาชนะรองเสมอ
-
อย่าใช้มือเปล่าหยิบสารที่ต้องชั่ง เพราะอาจทำให้เกิดความชื้นหรือการปนเปื้อน
-
ไม่ควรชั่งวัตถุที่หนักเกินพิกัดของเครื่อง (จะระบุไว้ที่ตัวเครื่อง) เพราะอาจทำให้เซ็นเซอร์เสียหาย
-
สำหรับเครื่องดิจิทัล ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อไฟอ่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงค่าน้ำหนักผิดพลาด
📌 สรุปภาพรวม
ประเภทเครื่องชั่ง | ความแม่นยำ | เหมาะกับการใช้งาน | จุดเด่น |
---|---|---|---|
ดิจิทัล (Digital) | สูงมาก (0.0001g) | งานวิจัย/ชั่งสารเคมี | ใช้ง่าย รวดเร็ว อ่านค่าง่าย |
แบบสามแขน (Triple Beam) | ปานกลาง (0.1g) | ห้องเรียน/ฝึกสมดุล | ไม่ใช้ไฟฟ้า ทนทาน เรียนรู้หลักการ |

5. ตะแกรงรอง (Wire Gauze)
🧪 หน้าที่หลัก:
ตะแกรงรองเป็นอุปกรณ์สำคัญในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ที่ใช้ รองรับภาชนะ เช่น บีกเกอร์ หรือหลอดทดลอง บนขาตั้งโลหะในขณะที่ทำการให้ความร้อน โดยจะช่วยป้องกันไม่ให้ภาชนะสัมผัสกับเปลวไฟโดยตรง ซึ่งจะช่วย ลดความเสี่ยงในการแตกร้าวของภาชนะ และช่วยกระจายความร้อนได้อย่างสม่ำเสมอ
🔧 ลักษณะของตะแกรงรอง:
ตะแกรงรองทั่วไปมีโครงสร้างเป็น ตาข่ายโลหะถักเป็นช่องตาราง โดยตรงกลางของตะแกรงมักจะมีแผ่นเซรามิกหรือใยแร่ (asbestos pad) สีขาวติดอยู่ ซึ่งเป็นวัสดุที่ทนความร้อนสูงและช่วยในการ กระจายเปลวไฟให้ทั่วถึงภาชนะที่วางอยู่ด้านบน
ลักษณะเฉพาะนี้ทำให้ตะแกรงรองสามารถใช้งานร่วมกับ ตะเกียงแอลกอฮอล์ หรือ ตะเกียงบุนเซน ได้อย่างปลอดภัย และมีอายุการใช้งานยาวนานหากดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
💡 ข้อควรรู้และวิธีใช้งานที่ถูกต้อง:
-
ควรวางตะแกรงบน วงแหวนของขาตั้งเหล็ก ให้มั่นคงก่อนวางบีกเกอร์หรืออุปกรณ์ใดๆ ลงบนตะแกรง
-
หลีกเลี่ยงการใช้ตะแกรงที่มี แผ่นเซรามิกแตกร้าวหรือชำรุด เพราะอาจทำให้ความร้อนไม่กระจายเท่ากัน และเสี่ยงต่อการแตกร้าวของภาชนะ
-
เมื่อต้องการทำความสะอาด ควรรอให้ตะแกรงเย็นลงก่อน แล้วใช้ผ้าแห้งหรือแปรงขนอ่อนเช็ดเศษคราบสารตกค้าง
-
ตะแกรงรองมักใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่น เช่น:
-
✅ ขาตั้งโลหะ (Ring Stand)
-
✅ วงแหวนโลหะ (Iron Ring)
-
✅ ตะเกียงแอลกอฮอล์ (Alcohol Lamp)
-
🔍 ประโยชน์ทางการศึกษา:
การใช้ตะแกรงรองอย่างถูกต้องมีส่วนสำคัญในการ ส่งเสริมความเข้าใจเรื่องการถ่ายเทความร้อนและการควบคุมพลังงานในการทดลอง ช่วยให้นักเรียนสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสารที่อยู่ภายใต้ความร้อนอย่างชัดเจน และช่วยสร้างนิสัยด้าน ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ
📌 ข้อควรระวัง:
-
ห้ามจับตะแกรงทันทีหลังจากให้ความร้อน เพราะจะร้อนจัดและอาจทำให้ผิวหนังไหม้ได้
-
ไม่ควรวางภาชนะที่มีของเหลวจนล้นบนตะแกรง เพราะอาจทำให้ของเหลวหกใส่เปลวไฟ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
-
ตรวจสอบสภาพของตะแกรงทุกครั้งก่อนใช้งาน หากมีสนิมหรือเสียรูปควรเปลี่ยนใหม่ทันที
6. ตะเกียงแอลกอฮอล์ (Alcohol Lamp)
✅ หน้าที่หลัก:
ตะเกียงแอลกอฮอล์มีบทบาทสำคัญในการให้ความร้อนสำหรับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้เปลวไฟ เช่น การให้ความร้อนกับของเหลวในบีกเกอร์ การฆ่าเชื้อเครื่องมือ การกระตุ้นปฏิกิริยาเคมี และอื่น ๆ โดยเป็นอุปกรณ์ที่ให้ความร้อนอย่างสม่ำเสมอและควบคุมได้ง่าย เหมาะกับห้องปฏิบัติการในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
🔍 ลักษณะของตะเกียงแอลกอฮอล์:
-
ทำจาก แก้วทนความร้อน หรือวัสดุโลหะที่ไม่ติดไฟง่าย
-
ภายในบรรจุ แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เช่น เอทานอล หรือเมทานอล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิง
-
มี ฝาครอบโลหะหรือเซรามิก สำหรับปิดเมื่อไม่ใช้งานและช่วยดับไฟ
-
มี ไส้ตะเกียง (Wick) ซึ่งดูดแอลกอฮอล์ขึ้นมาจุดให้เกิดเปลวไฟ โดยไส้ตะเกียงมักทำจากฝ้ายหรือเส้นใยทนไฟ
⚠️ ข้อควรรู้และข้อควรระวังในการใช้งาน:
1. ห้ามเติมแอลกอฮอล์ในขณะที่ยังมีไฟติดอยู่
เพราะไอแอลกอฮอล์สามารถระเหยและติดไฟได้ง่ายมาก การเติมในขณะที่ยังมีไฟอยู่อาจทำให้เกิดการลุกไหม้หรือระเบิดได้
2. ดับไฟอย่างถูกวิธี
ไม่ควรใช้การเป่าดับเปลวไฟ เพราะอาจทำให้ไฟลามหรือสะเก็ดไฟกระเด็น ควรใช้ฝาครอบครอบปากตะเกียงแทน เพื่อดับไฟอย่างปลอดภัย
3. วางตะเกียงบนพื้นผิวที่มั่นคง
ควรวางบนโต๊ะหรือแผ่นรองที่เรียบ แข็งแรง และทนความร้อนได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการล้มคว่ำ
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสเปลวไฟโดยตรง
ขณะใช้งานอย่าจับที่ตัวตะเกียงหรือไส้ตะเกียง เพราะจะร้อนและอาจทำให้เกิดบาดแผลไฟลวกได้
5. ใช้ในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี
ควรใช้งานในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อลดการสะสมของไอแอลกอฮอล์ที่อาจติดไฟได้
6. เก็บให้พ้นมือเด็ก และเก็บในที่เย็น
เมื่อไม่ใช้งาน ควรเก็บในตู้หรือภาชนะที่มิดชิด ปลอดภัย และไม่โดนแสงแดดโดยตรง
🔧 วิธีใช้งานตะเกียงแอลกอฮอล์อย่างถูกต้อง:
-
เปิดฝาตะเกียงแล้วเติมแอลกอฮอล์ลงในภาชนะให้พอประมาณ (ไม่ควรเต็มเกินไป)
-
ปิดฝาและรอให้ไส้ตะเกียงดูดแอลกอฮอล์ขึ้นมาอย่างทั่วถึง
-
ใช้ไม้ขีดไฟหรือไฟแช็กจุดที่ไส้ตะเกียง
-
วางตะเกียงในตำแหน่งที่ต้องการให้ความร้อน
-
เมื่อเสร็จการใช้งาน ให้ใช้ฝาครอบดับไฟ แล้วปล่อยให้เย็นก่อนจัดเก็บ
🎯 ประโยชน์ของตะเกียงแอลกอฮอล์ในห้องปฏิบัติการ:
-
ให้ความร้อน อย่างต่อเนื่องและควบคุมง่าย
-
เหมาะสำหรับการเรียนการสอนที่ต้องใช้ความร้อนในระดับเบื้องต้น
-
ใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้า
-
ต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ให้ความร้อนประเภทอื่น เช่น เตาแก๊ส หรือฮีตเตอร์
🧪 ตัวอย่างการทดลองที่ใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์:
-
การให้ความร้อนกับน้ำเพื่อดูจุดเดือด
-
การเผาโลหะหรือสารเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง
-
การฆ่าเชื้อปลายหลอดทดลองก่อนการเพาะเชื้อ
-
การทดลองเคมีที่ต้องใช้เปลวไฟแบบควบคุม

7. เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer)
📌 หน้าที่หลัก:
ใช้สำหรับ วัดอุณหภูมิของสาร ของเหลว แก๊ส หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งเป็นค่าพื้นฐานที่มีความสำคัญในหลากหลายการทดลอง เช่น การสังเกตการเปลี่ยนสถานะของสาร (จากของแข็งเป็นของเหลว หรือของเหลวเป็นแก๊ส) การคำนวณจุดเดือด จุดหลอมเหลว หรือการควบคุมอุณหภูมิในปฏิกิริยาเคมีที่มีความไวต่อความร้อน
🔍 ลักษณะของเทอร์โมมิเตอร์
เทอร์โมมิเตอร์ในห้องปฏิบัติการมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ได้แก่:
1. เทอร์โมมิเตอร์แบบแก้ว (Liquid-in-glass Thermometer)
-
บรรจุของเหลว เช่น แอลกอฮอล์ (สีแดงหรือสีน้ำเงิน) หรือ ปรอท (สีเงิน)
-
การขยายตัวของของเหลวในหลอดแคบจะชี้บอกค่าอุณหภูมิ
-
มักใช้วัดอุณหภูมิในช่วง -10°C ถึง 110°C
ข้อดี: ไม่ต้องใช้พลังงาน ใช้งานง่าย
ข้อจำกัด: เปราะบาง แตกหักง่าย และไม่ควรใช้ในอุณหภูมิสูงมากหรือในกรณีที่ต้องการความแม่นยำสูงมาก
💡 หมายเหตุ: ปัจจุบันมีการจำกัดการใช้ เทอร์โมมิเตอร์ปรอท ในหลายประเทศเนื่องจากพิษของสารปรอท
2. เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Thermometer)
-
ทำงานด้วยเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทอร์มิสเตอร์ (thermistor) หรือเทอร์โมคัปเปิล (thermocouple)
-
แสดงผลแบบตัวเลขบนหน้าจอ LCD
ข้อดี: อ่านค่าได้รวดเร็ว แม่นยำสูง พกพาสะดวก
ข้อจำกัด: ต้องใช้แบตเตอรี่ มีต้นทุนสูงกว่ารุ่นแก้ว
3. เทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด (Infrared Thermometer)
-
ใช้วัดอุณหภูมิของวัตถุจากระยะไกลโดยไม่ต้องสัมผัส
-
นิยมใช้ในงานภาคอุตสาหกรรม ห้องทดลองที่อันตราย หรือการวัดอุณหภูมิร่างกาย
⚠️ ข้อควรรู้ในการใช้งานเทอร์โมมิเตอร์
-
เลือกช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการทดลอง
ตัวอย่างเช่น หากต้องวัดน้ำเดือด ควรเลือกเทอร์โมมิเตอร์ที่รองรับได้ถึงอย่างน้อย 100°C -
อ่านค่าอุณหภูมิอย่างระมัดระวัง
-
ในรุ่นแก้ว ให้สังเกตระดับของของเหลวที่อยู่ในเส้นมาตรา
-
ควรอ่านค่าที่ระดับสายตาเพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อน
-
-
หลีกเลี่ยงการตกหล่นหรือกระแทก
-
เทอร์โมมิเตอร์แก้วแตกง่ายและอาจเกิดการปนเปื้อน (โดยเฉพาะถ้ามีปรอท)
-
ควรจัดเก็บในภาชนะรองรับหรือกล่องกันกระแทกเสมอ
-
-
ทำความสะอาดก่อนและหลังการใช้งาน
-
โดยเฉพาะเมื่อนำไปจุ่มสารเคมี ควรล้างด้วยน้ำกลั่นหรือตัวทำละลายที่เหมาะสม
-
-
สอบเทียบ (Calibration)
-
หากใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น งานวิเคราะห์สาร ควรสอบเทียบเทอร์โมมิเตอร์ตามมาตรฐานเป็นระยะ
-
🧪 ตัวอย่างการใช้เทอร์โมมิเตอร์ในห้องแล็บ
การทดลอง | จุดที่ต้องวัดอุณหภูมิ |
---|---|
การหาจุดเดือดของน้ำ | วัดอุณหภูมิเมื่อเกิดฟองเดือดเต็มที่ |
การทดลองเอนไซม์ในชีววิทยา | ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่เอนไซม์ทำงานดีที่สุด |
การวัดอุณหภูมิสารละลายก่อน/หลังปฏิกิริยาเคมี | เพื่อตรวจสอบว่าปฏิกิริยาเป็นแบบดูดความร้อนหรือคายความร้อน |
ความสำคัญของการใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง
การเข้าใจวิธีใช้และหน้าที่ของเครื่องมือวิทยาศาสตร์แต่ละชนิดมีความสำคัญมาก เพราะ:
-
✅ เพิ่ม ความแม่นยำ ในการทดลอง
-
✅ ช่วยให้ การเรียนรู้เป็นระบบ
-
✅ ลดความเสี่ยงของ อุบัติเหตุในห้องแล็บ
-
✅ เสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ผ่านประสบการณ์ตรง
สรุป
เครื่องมือวิทยาศาสตร์พื้นฐานทั้ง 7 ชนิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ นักเรียนและครูควรให้ความสำคัญกับการใช้งานอย่างถูกวิธี ปลอดภัย และตรงตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้การทดลองทางวิทยาศาสตร์เกิดผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ และปลูกฝังทักษะทางวิทยาศาสตร์อย่างยั่งยืน
สนใจติดต่อ เวิลด์เคมีคอล กรุ๊ป ผู้นําด้านการจําหน่ายและนำเข้า สารเคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ประเภท เคมีอุตสาหกรรม เคมีทําความสะอาด เคมีสระว่ายน้ำ เคมีบำบัดน้ำ เคมีงานปั้น-งานหล่อ เคมีอาหาร กลิ่น สารสกัด สี น้ำหอม เคมีเครื่องสำอาง อาทิ กลีเซอรีน โซดาไฟเกล็ด โซเดียมเมต้าไบซัลไฟต์ เอทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ สารพัดด้านเคมี เวิลด์เคมิคอล กรุ๊ป พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line ID : @worldchemical
Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
เว็บไซต์ : www.worldchemical.co.th
โทร : 053 204 446-7